๑. วงปี่พาทย์ชาตรี
วงดนตรีชนิดนี้เริ่มปรากฏหลักฐานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยมาแล้ว ถือเป็นวงปี่พาทย์ยุคเริ่มแรกเลยก็ว่าได้ และเนื่องจากวงดนตรีชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี จึงเรียกกันว่าวงปี่พาทย์ชาตรี หรืออาจเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าปี่พาทย์เครื่องห้าชนิดเบา เนื่องมาจากการพิจารณาตามขนาดและน้ำหนักของเครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กและเบาก็เป็นได้ วงปี่พาทย์ชาตรีประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีดังต่อไปนี้
ปี่นอก ๑ เลาโทน (ทับ) ๑ คู่กลองชาตรี ๑ ใบฆ้องคู่ ๑ ชุดฉิ่ง ๑ คู่ |
ปัจจุบัน วงดนตรีไทยชนิดนี้ยังคงใช้ในการประกอบกับการเล่นละครพื้นเมือง เช่น โนราห์ ของทางหัวเมืองปักษ์ใต้ เป็นต้น
๒. วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
จัดเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสูงสุดในกลุ่มวงปี่พาทย์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมาตรฐานที่สูงสุดอีกด้วย เครื่องดนตรีที่สังกัดในวงดนตรีประเภทนี้ทุกเครื่องจะมีเสียงดัง เนื่องจากบรรเลงด้วยไม้ตีชนิดแข็ง จึงเรียกชื่อวงดนตรีชนิดนี้ว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง ตามลักษณะของไม้ที่ใช้บรรเลง อรรถรสที่ได้จากการฟังดนตรีชนิดนี้จึงมีทั้งความหนักแน่น สง่าผ่าเผย คล่องแคล่ว และสนุกครึกครื้น
วงปี่พาทย์ไม้แข็งสามารถแบ่งตามขนาดของวงหรือตามจำนวนของเครื่องดนตรีได้เป็น ๓ ขนาด คือ วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ และวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่
๒.๑ วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีรายการละหนึ่งเครื่อง โดยแต่เดิมนั้นประกอบด้วยปี่ใน ระนาดเอก (ทำหน้าที่ดำเนินลำนำ) ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน และกลองทัด จนมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้เพิ่มฉิ่งขึ้นอีกสิ่งหนึ่ง
ดังนั้น ในปัจจุบัน วงปี่พาทย์เครื่องห้า จึงประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีและกำกับจังหวะรวมกันเป็นจำนวน ๖ เครื่อง กล่าวกันว่า สาเหตุที่เรียกเครื่องห้าอาจเป็นเพราะตะโพนและกลองทัดจัดเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องหนังหรือกลองทั้งคู่ จึงนับจำนวนหน่วยเป็นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ผู้รู้บางท่านก็ได้กล่าวไว้ในอีกแง่หนึ่งว่าการที่เรียกว่าปี่พาทย์เครื่องห้า แต่มีเครื่องดนตรี ๖ ชิ้นนั้น อาจเป็นเพราะผู้บรรเลงกลอง อาจจะเลือกตี ตะโพนหรือ กลองสองหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมของเพลง เครื่องดนตรีต่างๆ มีดังนี้
ดังนั้น ในปัจจุบัน วงปี่พาทย์เครื่องห้า จึงประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีและกำกับจังหวะรวมกันเป็นจำนวน ๖ เครื่อง กล่าวกันว่า สาเหตุที่เรียกเครื่องห้าอาจเป็นเพราะตะโพนและกลองทัดจัดเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องหนังหรือกลองทั้งคู่ จึงนับจำนวนหน่วยเป็นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ผู้รู้บางท่านก็ได้กล่าวไว้ในอีกแง่หนึ่งว่าการที่เรียกว่าปี่พาทย์เครื่องห้า แต่มีเครื่องดนตรี ๖ ชิ้นนั้น อาจเป็นเพราะผู้บรรเลงกลอง อาจจะเลือกตี ตะโพนหรือ กลองสองหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมของเพลง เครื่องดนตรีต่างๆ มีดังนี้
ปี่ใน ๑ เลาระนาดเอก ๑ รางฆ้องวงใหญ่ ๑ วงตะโพน ๑ ใบกลองทัด ๑ คู่ (แต่เดิมมี ๑ ใบ เพิ่งมาเพิ่มเป็นคู่เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑)ฉิ่ง ๑ คู่
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประทานอธิบายถึงเครื่องบรรเลงไว้ว่า “…ปี่พาทย์เครื่องห้าที่ไทยเราใช้กันมาแต่โบราณมาแต่เบญจดุริยางค์ แต่มีต่างกันเป็น ๒ ชนิด เป็นเครื่องอย่างเบา (ปี่พาทย์ชาตรี - ผู้เรียบเรียง) ใช้เล่นละคอนกันในพื้นเมือง (เช่นพวกละคอนชาตรี) ชนิด ๑ เครื่องอย่างหนักสำหรับเล่นโขนชนิด ๑ ปี่พาทย์ ๒ ชนิดมี่กล่าวมานี้คนทำวงละ ๕ คนเหมือนกัน แต่ใช้เครื่องต่างกัน
ปี่พาทย์เครื่องเบา วงหนึ่งมี: ปี่ เป็นเครื่องทำลำนำ ๑ ทับ ๒ กลอง ๑ ฆ้องคู่เป็นเครื่องทำจังหวะ ๑ ลักษณะตรงตำราเดิม ผิดกันแต่ใช้ทับแทนโทนใบ ๑ เท่านั้น
ส่วน ปี่พาทย์เครื่องหนัก นั้น วงหนึ่งมี: ปี่ ๑ ระนาด ๑ ฆ้องวง ๑ กลอง ๑ โทน (ตะโพน) ๑ ใช้โทนเป็นเครื่องทำเพลง และจังหวะไปด้วยกัน ถ้าทำลำนำที่ไม่ใช่โทน ก็ให้คนโทนตีฉิ่งให้จังหวะ
เหตุที่ผิดกันเช่นนี้ เห็นจะเป็นเพราะการเล่นละคอน มีขับร้อง และเจรจาสลับกับปี่พาทย์ ปี่พาทย์ไม่ต้องทำพักละช้านานเท่าใดนัก แต่การเล่นโขนต้องทำปี่พาทย์พักละนานๆ จึงต้องแก้ไขให้มีเครื่องทำลำนำมากขึ้น แต่การเล่นละคอนตั้งแต่เกิดมีละคอนในขึ้น เปลี่ยนมาใช้ปี่พาทย์เครื่องหนักอย่างโขน ปี่พาทย์ที่เล่นกันในราชธานี จึงใช้แต่ปี่พาทย์เครื่องหนักเป็นพื้น
ปี่พาทย์เครื่องหนักในสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมี: ปี่ ๑ เลา ระนาด ๑ ราง ฆ้อง ๑ วง ฉิ่งกับโทน ๑ กลองใบ ๑ รวมเป็น ๕ ด้วยกัน แต่ปี่นั้นใช้ขนาดย่อม อย่างที่เรียกว่าปี่นอก กลองก็ใช้ขนาดย่อมอย่างเช่นเล่นหนังใหญ่ แก้ไขชั้นแรก คือ ทำปี่ และกลองให้เขื่องขึ้นสำหรับใช้กับเครื่องปี่พาทย์ที่เล่นในร่มเพื่อเล่นโขนหรือละคอนใน ปี่ที่มีขึ้นใหม่นี้เรียกว่า ปี่ใน ส่วนปี่ และกลองอย่างของเดิม คงใช้ในเครื่องปี่พาทย์เวลาทำกลางแจ้ง เช่นเล่นหนัง (ใหญ่) จึงเกิดปี่นอก ปี่ใน ขึ้นเป็น ๒ อย่าง การแก้ไขที่กล่าวมานี้ จะแก้ไขแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาหรือมาแก้ไขในกรุงรัตนโกสินทร์ข้อนี้ไม่ทราบแน่…
ปี่พาทย์เครื่องเบา วงหนึ่งมี: ปี่ เป็นเครื่องทำลำนำ ๑ ทับ ๒ กลอง ๑ ฆ้องคู่เป็นเครื่องทำจังหวะ ๑ ลักษณะตรงตำราเดิม ผิดกันแต่ใช้ทับแทนโทนใบ ๑ เท่านั้น
ส่วน ปี่พาทย์เครื่องหนัก นั้น วงหนึ่งมี: ปี่ ๑ ระนาด ๑ ฆ้องวง ๑ กลอง ๑ โทน (ตะโพน) ๑ ใช้โทนเป็นเครื่องทำเพลง และจังหวะไปด้วยกัน ถ้าทำลำนำที่ไม่ใช่โทน ก็ให้คนโทนตีฉิ่งให้จังหวะ
เหตุที่ผิดกันเช่นนี้ เห็นจะเป็นเพราะการเล่นละคอน มีขับร้อง และเจรจาสลับกับปี่พาทย์ ปี่พาทย์ไม่ต้องทำพักละช้านานเท่าใดนัก แต่การเล่นโขนต้องทำปี่พาทย์พักละนานๆ จึงต้องแก้ไขให้มีเครื่องทำลำนำมากขึ้น แต่การเล่นละคอนตั้งแต่เกิดมีละคอนในขึ้น เปลี่ยนมาใช้ปี่พาทย์เครื่องหนักอย่างโขน ปี่พาทย์ที่เล่นกันในราชธานี จึงใช้แต่ปี่พาทย์เครื่องหนักเป็นพื้น
ปี่พาทย์เครื่องหนักในสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมี: ปี่ ๑ เลา ระนาด ๑ ราง ฆ้อง ๑ วง ฉิ่งกับโทน ๑ กลองใบ ๑ รวมเป็น ๕ ด้วยกัน แต่ปี่นั้นใช้ขนาดย่อม อย่างที่เรียกว่าปี่นอก กลองก็ใช้ขนาดย่อมอย่างเช่นเล่นหนังใหญ่ แก้ไขชั้นแรก คือ ทำปี่ และกลองให้เขื่องขึ้นสำหรับใช้กับเครื่องปี่พาทย์ที่เล่นในร่มเพื่อเล่นโขนหรือละคอนใน ปี่ที่มีขึ้นใหม่นี้เรียกว่า ปี่ใน ส่วนปี่ และกลองอย่างของเดิม คงใช้ในเครื่องปี่พาทย์เวลาทำกลางแจ้ง เช่นเล่นหนัง (ใหญ่) จึงเกิดปี่นอก ปี่ใน ขึ้นเป็น ๒ อย่าง การแก้ไขที่กล่าวมานี้ จะแก้ไขแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาหรือมาแก้ไขในกรุงรัตนโกสินทร์ข้อนี้ไม่ทราบแน่…
๒.๒ วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่
วงปี่พาทย์ชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นเพื่อให้คู่กับระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ สาเหตุที่วงปี่พาทย์ไม้แข็งชนิดนี้ถูกเรียกว่าเครื่องคู่นั้น คงเนื่องมาจากรูปแบบของการประสมวงที่กำหนดจำนวนเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงทำนองให้เป็นอย่างละสองเครื่องหรือเป็นคู่ กล่าวคือ ปี่ ๑ คู่ ระนาด ๑ คู่ และฆ้องวง ๑ คู่ เครื่องดนตรีและเครื่องกำกับจังหวะที่ประสมอยู่ในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ ประกอบด้วย
ปี่ใน ๑ เลาปี่นอก ๑ เลาระนาดเอก ๑ รางระนาดทุ้ม ๑ รางฆ้องวงใหญ่ ๑ วงฆ้องวงเล็ก ๑ วงตะโพน ๑ ใบกลองทัด ๑ คู่ฉิ่ง ๑ คู่ฉาบ กรับ โหม่ง ตามความเหมาะสมและบางครั้งอาจมีกลองแขกเพิ่มขึ้นด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ว่า “…ได้กล่าวมาข้างต้นว่าปี่พาทย์ เดิมเป็นเครื่องอุปกรณ์การฟ้อนรำ เช่นเล่นหนัง (ใหญ่) และโขน ละคอน เป็นต้น หรือเป็นเครื่องประโคมให้ครึกครื้น ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชดำริให้เสภาขับส่งปี่พาทย์ ปี่พาทย์ก็กลายเป็นเครื่องเล่นสำหรับให้ไพเราะโดยลำพัง เพราะฉะนั้น เมื่อเล่นเสภาส่งปี่พาทย์กันแพร่หลาย ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ จึงมีผู้คิดเครื่องปี่พาทย์เพิ่มเติมขึ้นให้เป็นคู่หมดทุกอย่าง เรื่องที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่นั้น มีสงสัยว่าจะเพิ่มมาแต่ก่อนรัชกาลที่ ๓ อยู่ ๓ สิ่ง คือ กลองแขก คู่ ๑ เห็นจะเพิ่งตั้งแต่เล่นละคอนเรื่องอิเหนาแต่ครั้งกรุงเก่ามา สำหรับแต่เวลารำอย่างแขก เช่น รำกริช เป็นต้น (แล้วจึงเลยเอาไปทำกระบี่กระบอง) กลองปี่พาทย์เดิมก็ใบเดียว (อย่างเช่นใช้ในปี่พาทย์เครื่องห้า) เติมกลองขึ้นเป็น ๑ ใบอีกสิ่งหนึ่ง สองหน้าสำหรับคนกลองตีขัดกับตะโพน (ในเวลาเพลงไม่ใช้กลอง) นี้สิ่ง ๑ เครื่อง ๑ สิ่งที่กล่าวมานี้ เห็นจะเติมเข้าในเครื่องปี่พาทย์มาก่อน…”
วงปี่พาทย์ชนิดนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เครื่องกลาง” และโปรดประทานอธิบายว่า “ลางทีก็ไม่มีปี่นอก เพราะหาคนปี่ได้ยาก”
วงปี่พาทย์ชนิดนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เครื่องกลาง” และโปรดประทานอธิบายว่า “ลางทีก็ไม่มีปี่นอก เพราะหาคนปี่ได้ยาก”
วงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยเครื่องดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่เป็นหลัก แต่มีการเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กขึ้นอีกอย่างละราง นับเป็นวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในปัจจุบัน
ระนาดเอกเหล็ก ทำด้วยโลหะ เดิมเรียกว่าระนาดทอง เพราะว่า เมื่อประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกใช้ทองเหลืองทำลูกระนาด ปัจจุบันนิยมใช้เหล็ก หรือสเตนเลส ทำลูกระนาด ใช้วางเรียงบนรางไม้ มีผ้าพันหรือใช้ไม้ระกำวางพาดไปตามขอบราง สำหรับรองหัวท้ายลูกระนาด แทนการร้อยเชือก เนื่องจากลูกระนาดมีน้ำหนักมาก วิธีการบรรเลงเช่นเดียวกับระนาดเอกไม้ ส่วนระนาดทุ้มเหล็กนั้นลูกระนาดทำอย่างเดียวกับระนาดเอกเหล็ก แต่ทำให้ลูกใหญ่กว่า เป็นเสียงทุ้ม เลียน เสียงระนาดทุ้ม มีจำนวน ๑๖ - ๑๗ ลูก วิธีบรรเลงเช่นเดียวกับระนาดทุ้มไม้ ระนาดเหล็กทั้งสองรางนี้ นักดนตรีมักเรียกกันว่า “หัว-ท้าย” ทั้งนี้คงเนื่องจากระเบียบการจัดวงที่เครื่องดนตรีทั้งสองนี้ ถูกกำหนดตำแหน่งให้อยู่ด้านหัวและท้ายของวงนั่นเอง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงคิดประดิษฐ์ระนาดโลหะ (ระนาดเหล็ก - ผู้เรียบเรียง) นี้ขึ้น โดยยึดหลักจากหีบเพลงที่ฝรั่งนำมาขายในสมัยนั้น กล่องเพลงนี้ ภายในมีโลหะคล้ายรูปหวี มีขนาดสั้นเรียงไปหายาว เมื่อไขลานแล้วจะมีแท่งโลหะรูปทรงกระบอกหมุน บนผิวทรงกระบอกนั้นมีปุ่มโลหะซึ่งจัดไว้ให้หมุนไปสะกิดหวีโลหะนั้น ก็จะเกิดเป็นเสียงออกมาสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงประทานอธิบายไว้ว่า “..(ปี่พาทย์) เครื่องใหญ่ มีระนาด ๔ ราง คือ ระนาดเอก (ไม้ไผ่) ระนาดทุ้ม (ไม้ไผ่) ระนาดทอง (ทำด้วยทองเหลืองอย่างระนาดเอก) กับระนาดทุ้มเหล็ก (ทำด้วยเหล็กอย่างระนาดทุ้ม) มีฆ้องสองร้าน คือ ฆ้องใหญ่กับฆ้องเล็ก ปี่สอง เลา คือ ปี่ใหญ่กับปี่เล็ก เรียกว่า ปี่ใน ปี่นอก กลองมีสามอย่าง คือ ตะโพน เปิงมาง กลองทัด อันกลองทัดนั้นจะใช้ใบเดียว สองใบ หรือสามใบก็ได้ เสียงสูง และเสียงต่ำไล่กันเป็นลำดับไป โดยมากใช้สองใบ เปิงมางนั้นต่อเมื่อไม่ตีกลองทัดจึงใช้คนตีกลองทัดนั้นเอง ตีเปิงมางสอดเสียงตะโพน ส่วนเครื่องประกอบอย่างอื่น เช่น ฉิ่ง ฉาบใหญ่ ฉาบเล็ก โหม่ง จะมีครบหรือละเว้นอะไรบ้างก็ได้ไม่จำกัด…” แล้วทรงประทานอธิบายกำเนิดของเครื่องปี่พาทย์บางชนิดว่า “…ระนาดเอกเป็นของมีมาแต่ดั้งเดิม ระนาดทุ้มเป็นของทำเติมเข้าใหม่ แต่เติมก่อนเจ้านายทรงปี่พาทย์ในรัชกาลที่ ๔ ระนาดทองเห็นจะคิดทำเติมขึ้นในครั้งเจ้านายทรงปี่พาทย์ในรัชกาลที่ ๔ ทุ้มเหล็กได้ทราบแน่ทีเดียวว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงพระราชดำริทำเติมขึ้น ถ่ายทอดมาจากหีบเพลงฝรั่งอย่างเป็นเครื่องกลเขี่ยหวีเหล็ก ฆ้องใหญ่เป็นของมีมาแต่ดั้งเดิม ฆ้องเล็ก เข้าใจว่าเอาฆ้องมโหรีมาผสม ปี่ใหญ่หรือปี่ในเป็นของมีประจำวงปี่พาทย์มาแต่ดั้งเดิม ปี่เล็กหรือปี่นอกเป็นของมีประจำวงปี่พาทย์มาแต่เก่าแก่เหมือนกัน เว้นแต่ก่อนนี้ไม่ได้ใช้เอามาเป่าเข้าวงปี่พาทย์ ใช้เป่าแต่ทำหนังจำเพาะเพลงเชิดนอกเมื่อจับลิงหัวค่ำอย่างเดียว ภายหลังจึงเอามาเติมเข้าในวงปี่พาทย์คู่กับปี่ใหญ่…”
ขอขอบคุณ : http://www.thaigoodview.com/node/33323
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น